อุปสงค์-อุปทาน

อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภค ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง โดยมีอำนาจซื้อหรือมีความสามารถในการตอบสนองความต้องการนั้นๆ

ราคา (บาท/หน่วย) 100 90 80 70 60 50 40
อุปสงค์/ความต้องการ 30 50 70 98 115 150 180

จากตารางด้านบนจะสังเกตได้ว่า เมื่อราคาสินค้าแพงขึ้น ความต้องการหรืออุปสงค์ลดน้อยลง (P>,D<)

แต่ในทางกลับกัน                เมื่อราคาสินค้าถูกลง ความต้องการหรืออุปสงค์ก็เพิ่มมากขึ้น (P<,D>)

ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์

–          ราคาของสินค้า เมื่อราคาแพงขึ้น ความต้องการจะลดลง (P>,D<)

–          รายได้ของผู้บริโภค ในกรณีที่เป็นสินค้าปกติ (Normal Goods) เมื่อผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ก็บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามหากรายได้เพิ่มขึ้น แล้วผู้บริโภคซื้อสินค้านั้นลดลง แสดงว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งอันที่จริงอาจจะไม่ได้หมายถึง คุณภาพของสินค้าจริงๆ ว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ดี แต่เป็นเรื่องของการรับรู้ของผู้บริโภคแต่ละคนที่อาจมีมุมมองแตกต่างกันไป เช่น ถ้ารวยขึ้นก็ไม่อยากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาจหันไปกินอย่างอื่น เช่น ไก่ทอด แทน เป็นต้น

–          ราคาสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น 2 ประเภท

สินค้าทดแทนกัน (Substitute Good) เช่น เมื่อหมูราคาแพงขึ้น ผู้บริโภคหมูลดลง (P>,D<)

สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (Complementary Good) เช่น เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้น ความต้องการซื้อรถยนต์ก็จะลดลง (P>,D<)

–          รสนิยมของผู้บริโภค เช่น หากรสนิยมในการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้ความต้องการสินค้าที่เคยใช้อยู่เปลี่ยนแปลงไป

–          การคาดการณ์รายได้ในอนาคต เช่น หากผู้บริโภครู้ว่าจะได้มีการปรับขึ้นเงินเดือน ก็อาจจะบริโภคล่วงหน้าไปก่อน ทำให้ความต้องการบริโภคสินค้าสูงขึ้น

–          ปัจจัยอื่นๆ เช่น ฤดูกาล จำนวนประชากร ฯลฯ

กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) หมายถึง กฎที่ว่าด้วยระบบความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณความต้องการซื้อสินค้านั้น ซึ่งกฎนี้กล่าวไว้ว่า

“ราคาและปริมาณความต้องการซื้อสินค้าจะมีความสัมพันธ์กันในทิศตรงกันข้าม”

อุปทาน (Supply) ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยกำหนดให้สิ่งอื่นๆคงที่

ราคา (บาท/หน่วย) 100 90 80 70 60 50 40
อุปสงค์/ความต้องการ 270 240 200 170  140 110 70

จากตารางด้านบนจะสังเกตได้ว่า เมื่อราคาสินค้าแพงขึ้น ความต้องการหรืออุปสงค์ก็มากขึ้น (P>,S>)

แต่ในทางกลับกัน                เมื่อราคาสินค้าถูกลง ความต้องการหรืออุปสงค์ก็เพิ่มลดลง (P<,S<)

ปัจจัยที่กำหนดอุปทาน

–          ราคาของสินค้า เมื่อราคาแพงขึ้น ความต้องการขายเพิ่มขึ้น (P>,S>)

–          ราคาของปัจจัยการผลิตหรือต้นทุนการผลิต เช่น หากต้นทุนค่าขนส่งแพงขึ้นเพราะราคาน้ำมันแพงขึ้น แต่ราคาสิ้นค้าที่นำไปวางขายไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้ผู้ผลิตอยากขายสินค้าในปริมาณที่น้อยลง ได้กำไรน้อยลง

–          ราคาสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรณีที่ราคาสินค้าอื่นแพงขึ้น อาจมีผลทำให้อุปทานของสินค้าที่ผลิตอยู่ลดลงตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น เมื่อราคาข้าวโพดแพงขึ้น คนที่เคยปลูกมันสำปะหลังอยู่ อาจหันไปปลูกข้าวโพดแทน และลดการปลูกมันสำปะหลังลง ซึ่งส่งผลทำให้อุปทานของมันสำปะหลังสูงขึ้น ขณะที่อุปทานของข้าวโพดลดลง

–          เทคโนโลยีในการผลิตสินค้า เช่น หากมีการคิดค้นเทคโนโลยีในการผลิตให้ดีขึ้น ทำให้ผลิตได้ปริมาณสินค้ามากขึ้นด้วยต้นทุนเท่าเดิม จะทำให้ปริมาณการเสนอขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้

–          การคาดการณ์ในอนาคต เช่น หากผู้ผลิตหรือผู้ขายคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว ก็เสนอขายสินค้าในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น

–          ปัจจัยอื่น เช่น ฤดูกาล ภาษีและเงินอุดหนุน จำนวนผู้ขาย และโครงสร้างตลาดสินค้า

กฎของอุปทาน (Law of Supply) หมายถึง กฎที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณการเสนอขายสินค้า ซึ่งกฎนี้กล่าวไว้ว่า “ปริมาณความต้องการขายสินค้าและราคาสินค้ามีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน”

ภาวะดุลยภาพ (Equilibrium) หมายถึง ระดับราคาที่ผู้ซื้อและผู้ขายเห็นพ้องต้องกัน หรือระดับราคาที่อุปสงค์เท่ากับอุปทาน หรือเส้นอุปสงค์ตัดกับเส้นอุปทาน

จากรูป ระดับดุลยภาพที่ความต้องการซื้อและความต้องการขายเท่ากันพอดี (เส้น D ตัดกับเส้น S ทีจุด E)

โดย ณ ราคาสินค้า 60 บาทต่อหน่วย ผู้ซื้อและผู้ขายมีความต้องการสินค้าที่ 120 หน่วย

จุดที่ราคาสูงกว่าราคาดุลยภาพจะเกิดอุปทานส่วนเกิน (Excess supply) และจะมีการปรับตัวเข้าสู่ราคาดุลยภาพ
ส่วนจุดที่ราคาต่ำกว่าราคาดุลยภาพจะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (Excess demand) และจะมีการปรับตัวสู่ราคาดุลยภาพ

ใส่ความเห็น